แจก 9 วิธีล้างเครื่องซักผ้า กำจัดสิ่งสกปรกและกลิ่นอับอย่างหมดจด

เครื่องซักผ้า

เคยเป็นไหม? ทั้ง ๆ ที่เพิ่งจะซักผ้าเสร็จ แต่เสื้อผ้ากลับมีคราบสกปรกและกลิ่นเหม็นอับจนไม่น่าสวมใส่ ซึ่งสาเหตุที่ทำให้เสื้อผ้าสกปรกก็คือ คราบสกปรกต่าง ๆ ที่เรามองไม่เห็นและหมักหมมอยู่บริเวณต่าง ๆ จากการไม่ได้ทำความสะอาดหรือล้างเครื่องซักผ้าเป็นเวลานาน ซึ่งนอกจากจะทำให้เสื้อผ้าไม่สะอาดที่เท่าควรแล้ว เศษฝุ่นต่าง ๆ ยังอาจทำให้เนื้อผ้าเกิดความเสียหายได้อีกด้วย ดังนั้น เราไปดูกันดีกว่าว่า วิธีล้างเครื่องซักผ้าให้สะอาดเหมือนเครื่องใหม่ด้วยตัวเองมีอะไรบ้าง?

ทำไมต้องล้างและทำความสะอาดเครื่องซักผ้า

ถึงแม้เครื่องซักผ้าจะเป็นอุปกรณ์ที่ใช้ในการทำความสะอาด หรือซักเสื้อผ้าและมีการปั่นอยู่เสมอ แต่หากมีการใช้ไปนานๆ สิ่งตกค้างต่างๆ ที่ได้จากการซัก ไม่ว่าจะเป็นคราบน้ำยาซักผ้า ฝุ่นหรือความสกปรกที่ติดมากับเสื้อผ้าก่อนที่จะทำการซัก ล้วนเป็นสิ่งสกปรกที่ตกค้างอยู่ในเครื่องซักผ้าทั้งนั้น หากเราใช้ไปเรื่อยๆ โดยที่ไม่ได้มีการล้างเครื่องซักผ้าบ้างเลย อาจทำให้เสื้อผ้าที่เรานำเอามาซักนั้นไม่สะอาดเท่าที่ควร แต่หากไม่อยากมานั่งล้างเครื่องซักผ้า แนะนำ ร้านสะดวกซัก ที่ขึ้นชื่อในเรื่องของความสะอาด 

สาเหตุที่ทำให้เครื่องซักผ้าสกปรก

สาเหตุที่ทำให้เครื่องซักผ้าสกปรก เกิดจากการใช้งานเครื่องซักผ้าเป็นประจำจนเกิดคราบสกปรกขึ้น ไม่ว่าจะเป็นคราบผงซักฟอกตกค้าง คราบน้ำยาปรับผ้านุ่ม เส้นผม ขนสัตว์ เศษฝุ่นผงต่าง ๆ เป็นต้น ซึ่งเมื่อเกิดการหมักหมมเป็นเวลานานก็จะก่อให้เกิดกลิ่นเหม็นอับและเชื้อราได้ ทำให้เมื่อนำเสื้อผ้าเข้าไปซักก็จะได้เสื้อผ้าที่ไม่สะอาดเท่าที่ควร และอาจเกิดคราบสกปรกติดอยู่บนเสื้อผ้าได้

1.ขั้นตอนการล้างเครื่องซักผ้า ต้องล้างจุดไหนบ้าง

ขั้นตอนการล้างเครื่องซักผ้า ต้องล้างจุดไหนบ้าง?

สำหรับคนที่ไม่เคยล้างเครื่องซักผ้าด้วยตัวเองและสงสัยว่า ถ้าจะล้างเครื่องซักผ้าด้วยตัวเองต้องล้างจุดไหนบ้าง CODE CLEAN รวมมาเป็นแนวทางให้คุณแล้ว โดยมีทั้งหมด 3 จุด ดังนี้

ล้างถังเครื่องซักผ้าด้วยโหมดทำความสะอาด

สำหรับคนที่มีเครื่องซักผ้ารุ่นใหม่ก็จะมีโหมดทำความสะอาดถังซักมาด้วย ทำให้สามารถล้างเครื่องซักผ้าได้อย่างสะดวกสบาย ขั้นตอนการใช้งานไม่ยุ่งยาก สามารถทำได้เหมือนการซักผ้าตามรอบซักปกติได้เลย เพียงแต่ไม่ได้ใส่ผ้าลงไปในถังซัก ทำให้เครื่องซักผ้าไม่อุดตันและสามารถทำงานได้ตามปกติ

วิธีการล้างเครื่องซักผ้าด้วยโหมดทำความสะอาด 

  1. ศึกษาวิธีการใช้งานโหมดทำความสะอาด จากคู่มือการใช้ที่ให้มากับตัวเครื่อง 
  2. ใส่น้ำยาซักผ้าหรือผลิตภัณฑ์ล้างเครื่องซักผ้า จากนั้นเลือกโหมดล้างถังหรือโหมดทำความะสอาดถังซัก 
  3. กดปุ่นเริ่มใช้งาน จากนั้นปล่อยให้เครื่องทำงานจนครบ โดยปกติแล้วมักใช้เวลาประมาณ 1 – 2 ชั่วโมงในการทำงาน ระบบจะทำการแช่ ซัก และล้างซ้ำหลายรอบเพื่อขจัดคราบสกปรกที่สะสมอย่างหมดจด เมื่อเครื่องทำงานเสร็จสิ้น เท่านี้ถังซักก็จะสะอาดขึ้นได้อย่างง่ายดาย 

เช็ดซีลบริเวณต่าง ๆ

เมื่อล้างถังซักเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็อย่าลืมเก็บรายละเอียดซีลบริเวณหน้าถังซัก เนื่องจากเป็นบริเวณที่อาจจะมีคราบสกปรก เชื้อราหรือคราบราดำซ่อนอยู่ ในระยะยาวหากปล่อยทิ้งไว้ อาจกลายเป็นเชื้อราหรือแบคทีเรียได้ 

วิธีเช็คทำความสะอาดซีลในบริเวณต่าง ๆ 

สามารถทำความสะอาดซีลรอบ ๆ เครื่องซักผ้าได้ง่าย ๆ ดังนี้ 

  1. พลิกซีลยางบริเวณฝาถังแล้วใช้น้ำยาเช็ดทำความสะอาดทั้งด้านในและด้านนอกให้เรียบร้อย หากเป็นคราบที่ฝังแน่น อาจใช้แปรงขนนุ่มช่วยขัดเบา ๆ 
  2. จากนั้นใช้ผ้าสะอาดเช็ดให้แห้ง เพียงเท่านี้ก็จะสามารถขจัดคราบสกปรกและเชื้อโรคได้แล้ว   

อย่างไรก็ตาม ขั้นตอนนี้ จำเป็นต้องหลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีฤทธิ์รุนแรง เช่น แอนโมเนียหรือแอลกอฮอล์ เพราะอาจจะกัดกร่อนผิวของซีล จนทำให้ไม่สามารถใช้งานได้

ทำความสะอาดช่องใส่ผงซักฟอกและน้ำยาปรับผ้านุ่ม

เนื่องจากทุกครั้งทีซักผ้า อาจมีเศษผงซักฟอกหรือน้ำยาปรับผ้านุ่มหลงเหลืออยู่ในช่องใส่น้ำยาซักผ้าและน้ำยาปรับผ้านุ่ม หากปล่อยทิ้งไว้นาน ๆ ก็อาจจะทำให้เกิดคราบเชื้อรา หรือคราบผงซักฟอกที่จับตัวเป็นก้อนได้ ซึ่งหากอาจอุดตันการไหลของน้ำและทำให้ประสิทธิภาพในการซักลดลงได้ ดังนั้น จึงควรถอดชิ้นส่วนนี้ออกมาล้างให้สะอาด เพื่อให้การซักผ้าในครั้งต่อ ๆ ไปสะอาดขึ้นได้

วิธีทำความสะอาดช่องใส่ผงซักฟอกและน้ำยาปรับผ้านุ่ม   

  1. ถอดช่องหรือถาดใส่ผงซักฟอกและน้ำยาปรับผ้านุ่มออกมา 
  2. ล้างถาดใส่น้ำยาซักผ้าได้ด้วยน้ำอุ่นและน้ำยาล้างจาน ใช้แปรงขนนุ่งขัดเบา ๆ บริเวณที่มีคราบฝังแน่น
  3. ก่อนจะใส่ช่องใส่ผงซักฟอกกลับเข้าไป ควรเช็ดด้วยผ้าสะอาดให้แห้งสนิทก่อนทุกครั้ง 
2. 9 วิธีล้างเครื่องซักผ้าให้สะอาดเหมือนใหม่ ฉบับทำได้ง่าย ๆ ด้วยตัวเอง

9. วิธีล้างเครื่องซักผ้าให้สะอาดเหมือนใหม่

ได้ทราบกันไปแล้วว่าจุดที่ต้องทำความสะอาดเมื่อล้างเครื่องซักผ้าด้วยตัวเองมีอะไรบ้าง ต่อไปเราก็มาดูวิธีล้างเครื่องซักผ้าให้สะอาดเหมือนใหม่ที่ CODE CLEAN รวมมาให้ทั้งวิธีล้างถังซักและเครื่องด้านนอกกันเลยดีกว่า 

1. น้ำส้มสายชู

น้ำส้มสายชู เป็นหนึ่งในเครื่องปรุงอาหารที่มีอยู่ในแทบทุกครัวเรือน ที่นอกจะให้รสเปรี้ยวในเมนูอาหารแล้ว ยังมีคุณสมบัติช่วยทำความสะอาดสิ่งต่าง ๆ ได้ เพราะในน้ำส้มสายชูจะมีกรดอะซิติก (Acetic Acid) ที่สามารถขจัดคราบตะกรัน และฆ่าเชื้อโรคได้อีกด้วย  

วิธีล้างเครื่องซักผ้าฝาบนด้วยน้ำสัมสายชู

  1. เติมน้ำร้อนลงในถังซัก เปิดโปรแกรมซักผ้าแบบปกติ แล้วเติมน้ำให้เต็มถัง โดยใช้น้ำอุณหภูมิร้อน (ประมาณ 60°C–90°C) เพื่อช่วยละลายคราบสกปรกได้ดีขึ้น
  2. ใส่น้ำส้มสายชูขาวกลั่นประมาณ 2 ถ้วยตวง (500 มล.) เทลงในถังซักในขณะที่น้ำยังคงอยู่ ห้ามใส่น้ำยาซักผ้าหรือผงซักฟอกร่วมด้วย 
  3. ปล่อยให้เครื่องหมุนผสมน้ำประมาณ 3 – 5 นาที แล้วกดหยุดเครื่อง เพื่อให้น้ำส้มสายชูกระจายทั่วถึง แล้วทิ้งไว้แช่ประมาณ 1 – 2 ชั่วโมง เพื่อให้คราบสะสมหลุดออกได้ง่าย
  4. เริ่มการซักตามปกติ หลังจากแช่ครบเวลา ให้เปิดเครื่องให้ทำงานจนจบรอบการซัก เพื่อให้น้ำส้มสายชูและคราบต่าง ๆ ถูกชะล้างออกไป 
  5. เช็ดถังซักและฝาเครื่องให้แห้ง ใช้ผ้าสะอาดเช็ดบริเวณขอบฝา ถังซัก และรอบนอกตัวเครื่องให้สะอาด ป้องกันเชื้อราหรือกลิ่นตกค้าง
  6. เปิดฝาทิ้งไว้ให้ถังแห้งสนิท เพื่อระบายอากาศ ลดความชื้น และป้องกันการเกิดเชื้อรา

 วิธีล้างเครื่องซักผ้าฝาหน้าด้วยน้ำสัมสายชู

  1. เลือกเมนูซักผ้าปกติโดยใช้ระบบน้ำร้อน หรือเลือกปริมาณน้ำในระดับสูงสุด
  2. เทน้ำส้มสายชูปริมาณ 500 มิลลิลิตร ลงในถังซักหรือช่องใส่ผงซักฟอกแล้วปิดฝา
  3. ใช้เวลาปั่นประมาณ 3-4 นาที เพื่อให้น้ำส้มสายชูได้ชำระคราบสกปรกในถังซักอย่างทั่วถึง จากนั้นกดหยุดเครื่องและปล่อยแช่ไว้ประมาณ 1-2 ชั่วโมง เพื่อให้น้ำส้มสายชูออกฤทธิ์ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ
  4. เมื่อครบเวลาแล้วให้ทำการปล่อยน้ำทิ้ง และเปิดโหมดซักด้วยน้ำเปล่าเพื่อเป็นการชำระล้างคราบสกปรกที่ยังตกค้าง รวมทั้งเพื่อกำจัดกลิ่นน้ำส้มสายชูให้หมดไปจากตัวเครื่อง  

ข้อควรระวังในการล้างเครื่องซักผ้าด้วยน้ำส้มสายชู

ควรล้างเครื่องซักผ้าด้วยน้ำส้มสายชูเดือนละ 1 ครั้ง และควรหมั่นตรวจสอบยางขอบประตูหรือชิ้นส่วนพลาสติกเป็นประจำทุกครั้ง เพื่อรักษาความสะอาดและยืดอายุการใช้งานของเครื่องซักผ้าให้ยาวนานยิ่งขึ้น

3. 2. ล้างถังซักด้วยน้ำยาล้างห้องน้ำ

2. เบกกิ้งโซดา

เบกกิ้งโซดา หรือ โซเดียมไบคาร์บอเนต ถือเป็นไอเทมเด็ดประจำบ้านที่ไม่ได้มีดีแค่การทำขนม แต่ยังเป็นพระเอกในการ ล้างเครื่องซักผ้า ให้กลับมาสะอาดเหมือนใหม่ได้อย่างน่าทึ่ง คุณสมบัติของเบกกิ้งโซดาจะช่วยขจัดคราบสบู่ คราบผงซักฟอกที่ตกค้าง และยังช่วยลดกลิ่นอับในถังซักได้อย่างมีประสิทธิภาพอีกด้วย  

วิธีล้างเครื่องซักผ้าฝาบนด้วยเบกกิ้งโซดา 

  1. ตั้งค่าเครื่องซักผ้าไปที่โปรแกรมซักด้วยน้ำร้อน (หากมี) หรือเลือกระดับน้ำสูงสุด
  2. เทเบกกิ้งโซดาประมาณ 1 ถ้วยตวง หรือประมาณ 500 กรัม ลงในถังซักโดยตรง
  3. กดปุ่มเริ่มทำงาน ให้เครื่องปั่นเบกกิ้งโซดาผสมกับน้ำจนละลายดี แล้วกดหยุดเครื่องชั่วคราว
  4. ปล่อยทิ้งไว้ให้เบกกิ้งโซดาทำงานอย่างน้อย 3 – 4 ชั่วโมง หรือจะให้ดีที่สุดคือแช่ทิ้งไว้ข้ามคืน
  5. หลังจากแช่ทิ้งไว้แล้ว ให้กดปุ่มทำงานต่อเพื่อให้เครื่องซักผ้าทำงานจนจบโปรแกรม
  6. เมื่อเครื่องทำงานเสร็จสิ้น ใช้ผ้าสะอาดชุบน้ำหมาด ๆ เช็ดทำความสะอาดภายในถังซักและขอบยางอีกครั้ง

 วิธีล้างเครื่องซักผ้าฝาหน้าด้วยเบกกิ้งโซดา  

  1. ผสมเบกกิ้งโซดา ¼ ถ้วยตวง กับน้ำเปล่า ¼ ถ้วยตวง คนให้เข้ากัน
  2. เทส่วนผสมที่ได้ลงในช่องสำหรับใส่ผงซักฟอก
  3. ตั้งค่าเครื่องซักผ้าเป็นโปรแกรมซักปกติโดยใช้น้ำร้อน (หากมี) และเริ่มการทำงาน
  4. ปล่อยให้เครื่องทำงานจนจบโปรแกรมการล้าง
  5. หลังเครื่องหยุดทำงาน เปิดฝาเพื่อระบายอากาศ และใช้ผ้าสะอาดเช็ดบริเวณขอบยางและกระจกด้านใน

ข้อควรระวังในการล้างเครื่องซักผ้าด้วยเบกกิ้งโซดา 

การใช้ในปริมาณที่มากเกินไปอาจทำให้เกิดการตกค้างเป็นคราบขาวได้ ดังนั้น ควรใช้ในปริมาณที่แนะนำ และควรให้เครื่องได้ล้างน้ำเปล่าในรอบสุดท้ายอย่างสมบูรณ์ เพื่อล้างกำจัดผงเบกกิ้งโซดาออกให้หมดจด

3. น้ำส้มสายชูผสมเบกกิ้งโซดา

น้ำส้มสายชู และเบกกิ้งโซดามารวมพลังกัน ประสิทธิภาพในการล้างเครื่องซักผ้าก็จะเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า โดยเบกกิ้งโซดา จะทำหน้าที่ขจัดคราบสกปรกและลดกลิ่นอับ ในขณะที่น้ำส้มสายชูจะช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรียและเชื้อรา รวมถึงสลายคราบหินปูนที่เกาะอยู่ตามส่วนต่าง ๆ ของเครื่อง 

วิธีล้างเครื่องซักผ้าฝาบนด้วยน้ำส้มสายชูผสมเบกกิ้งโซดา 

  1. เริ่มจากการตั้งค่าเครื่องซักผ้าไปที่โปรแกรมน้ำร้อนและเลือกระดับน้ำสูงสุด
  2. เทเบกกิ้งโซดา 1 ถ้วยตวงลงไปในถังซัก ตามด้วยน้ำส้มสายชู 2-3 ถ้วยตวง
  3. กดให้เครื่องทำงานประมาณ 2-3 นาที เพื่อให้ส่วนผสมเข้ากันดี จากนั้นกดหยุดการทำงาน
  4. แช่ทิ้งไว้ประมาณ 1-3 ชั่วโมง เพื่อให้สารละลายได้เข้าขจัดคราบฝังแน่น
  5. เมื่อครบกำหนดเวลา ให้เปิดเครื่องและปล่อยให้ทำงานต่อไปจนสิ้นสุดโปรแกรม
  6. หลังซักเสร็จ ใช้ฟองน้ำหรือผ้าชุบน้ำเช็ดคราบที่อาจหลงเหลืออยู่ภายในถังซักอีกครั้ง 

วิธีล้างเครื่องซักผ้าฝาหน้าด้วยน้ำส้มสายชูผสมเบกกิ้งโซดา 

  1. เทเบกกิ้งโซดาประมาณ 2 ช้อนโต๊ะลงในช่องใส่ผงซักฟอก
  2. เทน้ำส้มสายชูประมาณ 2 ถ้วยตวงเข้าไปในถังซักโดยตรง
  3. เลือกโปรแกรมการซักที่ใช้อุณหภูมิสูงที่สุดและกดปุ่มเริ่มทำงาน
  4. ปล่อยให้เครื่องดำเนินการซักล้างไปตามปกติจนจบขั้นตอน
  5. เมื่อเครื่องหยุด ให้ใช้ผ้าสะอาดเช็ดทำความสะอาดบริเวณขอบยางประตูและช่องใส่ผงซักฟอก เพื่อกำจัดคราบที่อาจถูกชะล้างออกมา 

ข้อควรระวังในการล้างเครื่องซักผ้าด้วย

ไม่ควรเทเบกกิ้งโซดาและน้ำส้มสายชูผสมกันในภาชนะปิดก่อนเทลงเครื่อง เพราะอาจเกิดฟองฟู่และแรงดันได้ ควรเทลงในเครื่องซักผ้าโดยตรง นอกจากนี้ การใช้น้ำส้มสายชูล้างเครื่องบ่อยเกินไป อาจส่งผลกระทบต่อตัวเครื่องในระยะยาวได้ แนะนำให้ทำความสะอาดด้วยวิธีนี้ทุก 3 – 6 เดือน 

5. 6. ทำความสะอาดตัวกรองและฟิลเตอร์เครื่องซักผ้า

4. น้ำยาฆ่าเชื้อ

สำหรับบ้านที่ต้องการความสะอาดระดับสูงสุด หรือหลังจากซักเสื้อผ้าของผู้ป่วย การใช้ยาฆ่าเชื้อในการล้างเครื่องซักผ้า ก็จะช่วยกำจัดเชื้อโรค ไวรัสและแบคทีเรียได้อย่างหมดจด  

วิธีล้างเครื่องซักผ้าฝาบนด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อ 

  1. เปิดเครื่องซักผ้า และตั้งโปรแกรมการซักด้วยน้ำเย็น 
  2. เทน้ำยาฆ่าเชื้อตามปริมาณที่ระบุไว้ข้างฉลากผลิตภัณฑ์ลงในถังซัก
  3. ปล่อยให้เครื่องทำงานตามปกติจนจบโปรแกรม
  4. อาจตั้งโปรแกรมล้างน้ำเปล่า (Rinse) ซ้ำอีกหนึ่งรอบเพื่อความมั่นใจว่าไม่มีสารเคมีตกค้าง 

วิธีล้างเครื่องซักผ้าฝาหน้าด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อ  

  1. เทน้ำยาฆ่าเชื้อลงในช่องสำหรับใส่น้ำยาปรับผ้านุ่ม หรือช่องซักล้างเบื้องต้น (Pre-wash) ตามคำแนะนำของเครื่องซักผ้าแต่ละรุ่น
  2. เลือกโปรแกรมการซักปกติ (ไม่จำเป็นต้องใช้น้ำร้อน)
  3. กดเริ่มทำงาน และปล่อยให้เครื่องซักล้างจนเสร็จสิ้น
  4. หลังใช้งานควรเปิดฝาเครื่องทิ้งไว้ เพื่อให้อากาศถ่ายเทและลดความอับชื้น 

ข้อควรระวังในการล้างเครื่องซักผ้าด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อ 

ควรอ่านและปฏิบัติตามคำแนะนำบนฉลากของผลิตภัณฑ์อย่างเคร่งครัด ห้ามผสมน้ำยาฆ่าเชื้อกับสารฟอกขาวหรือสารเคมีชนิดอื่นเด็ดขาด เพราะอาจทำปฏิกิริยาเกิดเป็นก๊าซพิษที่เป็นอันตรายต่อระบบทางเดินหายใจได้

5. ผงซักฟอก

ผงซักฟอกที่เราใช้ซักผ้ากันอยู่ทุกวันก็สามารถนำมาใช้ล้างเครื่องซักผ้าได้เช่นกัน ผงซักฟอกจะช่วยชะล้างคราบสิ่งสกปรก และคราบไขมันที่เกาะอยู่ภายในถังซักได้  

วิธีล้างเครื่องซักผ้าฝาบนด้วยผงซักฟอก 

  1. ตั้งโปรแกรมซักผ้าด้วยน้ำร้อน และเลือกระดับน้ำสูงสุด
  2. ใส่ผงซักฟอกในปริมาณเท่ากับการซักผ้าปกติลงไปในเครื่อง
  3. ปล่อยให้เครื่องทำงานจนจบโปรแกรมการซักล้าง
  4. วิธีนี้จะช่วยล้างคราบผงซักฟอกเก่า ๆ และสิ่งสกปรกที่ตกค้างออกไปได้

วิธีล้างเครื่องซักผ้าฝาหน้าด้วยผงซักฟอก  

  1. ตรวจสอบให้แน่ใจว่าไม่มีผ้าอยู่ในเครื่อง
  2. ใส่ผงซักฟอกในปริมาณปกติลงในช่องสำหรับผงซักฟอก
  3. เลือกโปรแกรมซักผ้าฝ้าย (Cotton) ที่อุณหภูมิประมาณ 60 องศาเซลเซียส
  4. เริ่มการทำงานและรอจนเครื่องซักเสร็จสมบูรณ์
  5. หลังเสร็จสิ้น ควรเช็ดทำความสะอาดขอบยางประตู เพื่อกำจัดคราบสกปรกที่อาจหลงเหลืออยู่ 

ข้อควรระวังในการล้างเครื่องซักผ้าด้วยผงซักฟอก 

วิธีนี้อาจไม่สามารถกำจัดเชื้อราหรือแบคทีเรียที่ฝังแน่นได้ เทียบเท่ากับการใช้น้ำส้มสายชูหรือน้ำยาฆ่าเชื้อ และควรเลือกใช้ผงซักฟอกสำหรับเครื่องฝาหน้า หรือฝาบนให้ถูกต้องตามประเภทของเครื่อง เพื่อป้องกันปัญหาฟองล้น

6. แอมโมเนีย

แอมโมเนียเป็นสารเคมีที่มีฤทธิ์เป็นด่างและมีกลิ่นฉุน มีประสิทธิภาพสูงในการสลายคราบไขมันและคราบสบู่ที่ฝังแน่น อย่างไรก็ตาม แอมโมเนียเป็นสารที่ค่อนข้างอันตราย จึงต้องใช้ด้วยความระมัดระวังอย่างยิ่งในการล้าง 

วิธีล้างเครื่องซักผ้าฝาบนด้วยแอมโมเนีย 

  1. เปิดประตูและหน้าต่าง เพื่อระบายอากาศในบริเวณที่ตั้งเครื่องซักผ้าให้ดีที่สุด
  2. สวมถุงมือยาง และแว่นตาป้องกันสารเคมี
  3. ตั้งโปรแกรมซักด้วยน้ำร้อนและระดับน้ำสูงสุด
  4. เทแอมโมเนีย ชนิดที่ใช้ทำความสะอาดบ้าน ประมาณ 2 ถ้วยตวงลงในถังซักที่เติมน้ำแล้ว
  5. ปิดฝาและปล่อยให้เครื่องทำงานจนจบโปรแกรม
  6. หลังจากนั้น ให้เปิดโปรแกรมล้างด้วยน้ำเปล่าซ้ำอีก 1 – 2 รอบ เพื่อให้แน่ใจว่ากลิ่นและสารแอมโมเนียหมดไปจริง ๆ

วิธีล้างเครื่องซักผ้าฝาหน้าด้วยแอมโมเนีย 

  1. เทแอมโมเนียประมาณ 1 ถ้วยตวงลงในถังซักโดยตรง
  2. เลือกโปรแกรมซักด้วยน้ำร้อน และเริ่มการทำงาน
  3. ปล่อยให้เครื่องซักล้างจนเสร็จ
  4. ควรเปิดโปรแกรมล้างน้ำเปล่า (Rinse) หรือโปรแกรมซักด่วน (Quick Wash) ซ้ำอีกครั้งเพื่อกำจัดกลิ่นตกค้าง 

ข้อควรระวังในการล้างเครื่องซักผ้าด้วยแอมโมเนีย 

ห้ามผสมแอมโมเนียกับน้ำยาฟอกขาว (คลอรีน) เพราะจะทำให้เกิดพิษร้ายแรง และอาจถึงแก่ชีวิตได้ ควรเก็บให้พ้นมือเด็กและสัตว์เลี้ยง และใช้ในที่ที่มีอากาศถ่ายเทสะดวกเท่านั้น

7. น้ำยาฟอกขาว

น้ำยาฟอกขาว หรือคลอรีน บลีช (Chlorine Bleach) ช่วยกำจัดเชื้อราและแบคทีเรียที่มองไม่เห็นได้อย่างราบคาบ ช่วยให้ถังซักกลับมาสะอาด และปราศจากเชื้อโรค 

วิธีล้างเครื่องซักผ้าฝาบนด้วยน้ำยาฟอกขาว 

  1. ตั้งค่าเครื่องซักผ้าไปที่โปรแกรมซักน้ำร้อนและระดับน้ำสูงสุด
  2. เมื่อน้ำเต็มถังแล้ว ให้เทน้ำยาฟอกขาว (คลอรีน) ประมาณ 1-2 ถ้วยตวงลงไป
  3. ปล่อยให้เครื่องปั่นประมาณ 1 นาทีเพื่อให้สารละลายเข้ากัน แล้วกดหยุด
  4. แช่ทิ้งไว้เป็นเวลา 1 ชั่วโมง
  5. หลังจากครบชั่วโมง ให้ปล่อยเครื่องทำงานต่อไปตามปกติจนจบโปรแกรม
  6. อาจเปิดโปรแกรมล้างน้ำเปล่าซ้ำอีกรอบเพื่อชะล้างกลิ่นคลอรีน 

วิธีล้างเครื่องซักผ้าฝาหน้าด้วยน้ำยาฟอกขาว 

  1. เทน้ำยาฟอกขาวประมาณ ½ ถ้วยตวง ลงในช่องใส่ผงซักฟอก หรือช่องสำหรับใส่สารฟอกขาวโดยเฉพาะ (หากมี)
  2. เลือกโปรแกรมซักปกติ และเลือกใช้น้ำร้อน 
  3. กดเริ่มทำงานและปล่อยให้เครื่องดำเนินการจนเสร็จสิ้น
  4. หลังซักเสร็จ เปิดประตูทิ้งไว้เพื่อระบายกลิ่นและปล่อยให้ถังแห้ง

ข้อควรระวังในการล้างเครื่องซักผ้าด้วยน้ำยาฟอกขาว 

ห้ามผสมน้ำยาฟอกขาวกับแอมโมเนียหรือน้ำส้มสายชู เพราะจะเกิดปฏิกิริยาเคมีที่สร้างก๊าซพิษอันตราย การใช้น้ำยาฟอกขาวบ่อยเกินไปอาจทำให้ชิ้นส่วนยางของเครื่องเสื่อมสภาพเร็วขึ้นได้ ควรทำความสะอาดด้วยวิธีนี้ทุก 3 – 6 เดือนก็เพียงพอแล้ว  

8. น้ำยาล้างเครื่องซักผ้า

สำหรับใครที่ต้องการความสะดวก รวดเร็ว การเลือกใช้น้ำยาล้างเครื่องซักผ้า หรือผงล้างเครื่องซักผ้า โดยเฉพาะ จะสามารถขจัดได้ทั้งคราบสกปรก คราบไขมัน คราบหินปูนและเชื้อโรคต่าง ๆ ได้ในขั้นตอนเดียว 

วิธีล้างเครื่องซักผ้าฝาบนด้วยน้ำยาล้างเครื่องซักผ้า 

  1. นำเสื้อผ้าออกจากเครื่องซักผ้าให้หมด
  2. เทน้ำยาหรือใส่ผงล้างเครื่องซักผ้าลงในถังซักโดยตรงตามปริมาณที่ระบุบนฉลาก
  3. ตั้งโปรแกรมซักผ้าปกติ หรือบางผลิตภัณฑ์อาจแนะนำให้ใช้โปรแกรมล้างถังซัก (Tub Clean) หากเครื่องมี
  4. เลือกระดับน้ำสูงสุดและใช้น้ำอุณหภูมิปกติหรือน้ำร้อนตามคำแนะนำ
  5. ปล่อยให้เครื่องทำงานจนจบโปรแกรม เป็นอันเสร็จสิ้น 

วิธีล้างเครื่องซักผ้าฝาหน้าด้วยน้ำยาล้างเครื่องซักผ้า  

  1. เทน้ำยาหรือผงล้างเครื่องซักผ้าลงในช่องใส่ผงซักฟอก 
  2. เลือกโปรแกรมซักปกติ และเลือกน้ำที่อุณหภูมิ 60 – 90 องศาเซลเซียส 
  3. กดปุ่มเริ่มทำงาน และรอจนเครื่องทำงานเสร็จ
  4. หลังใช้งานควรเช็ดขอบยางประตู และเปิดฝาทิ้งไว้ให้อากาศถ่ายเท

ข้อควรระวังในการล้างเครื่องซักผ้าด้วยน้ำยาล้างเครื่องซักผ้า 

ควรอ่านคำแนะนำและคำเตือนบนบรรจุภัณฑ์ของผลิตภัณฑ์ล้างเครื่องซักผ้ายี่ห้อนั้นๆ อย่างละเอียดก่อนใช้งานเสมอ และควรเลือกซื้อผลิตภัณฑ์จากยี่ห้อที่น่าเชื่อถือและได้มาตรฐาน เพื่อความปลอดภัยของทั้งผู้ใช้งานและยืดอายุการใช้งานของเครื่องซักผ้า

9. ซักรอบไม่มีผ้าเพื่อขจัดสิ่งสกปรกตกค้าง

ควรเปิดใช้งานเครื่องซักโดยไม่ใส่ผ้าประมาณ 1 – 2 รอบ เพื่อช่วยกำจัดสิ่งสกปรกตกค้างที่อาจยังหลงเหลืออยู่ ทำแบบนี้เป็นประจำจะช่วยรักษาเครื่องให้สะอาดอยู่เสมอ     

วิธีล้างเครื่องซักผ้าฝาบนด้วยวิธีการซักรอบไม่มีผ้า 

  1. หลังจากขั้นตอนการล้างหลักเสร็จสิ้น ให้ตั้งค่าเครื่องซักผ้าไปที่โปรแกรมซักด่วน (Quick Wash) หรือโปรแกรมซักปกติ (Normal)
  2. เลือกระดับน้ำสูงสุด เพื่อให้น้ำสามารถชะล้างสิ่งสกปรกออกจากทั่วทุกมุมของถังซักได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  3. ไม่จำเป็นต้องใช้น้ำร้อน สามารถใช้น้ำอุณหภูมิปกติได้
  4. กดปุ่มเริ่มทำงานและปล่อยให้เครื่องทำงานไปจนจบโปรแกรม 

วิธีล้างเครื่องซักผ้าฝาหน้าด้วยวิธีการซักรอบไม่มีผ้า

  1. เลือกใช้โปรแกรมซักด่วน (Quick Wash) หรือโปรแกรมล้าง ((Rinse) และปั่นหมาด (Spin)
  2. ตั้งค่าอุณหภูมิน้ำเป็นน้ำเย็นหรืออุณหภูมิปกติ
  3. กดเริ่มการทำงานและปล่อยให้เครื่องดำเนินการจนเสร็จสิ้น
  4. เมื่อเครื่องหยุดทำงาน ควรใช้ผ้าแห้งสะอาดเช็ดบริเวณขอบยางประตูและกระจกอีกครั้ง เพื่อกำจัดหยดน้ำและความชื้นที่อาจหลงเหลืออยู่

ข้อควรระวังในการล้างเครื่องซักผ้าด้วยวิธีการซักรอบไม่มีผ้า 

โดยทั่วไปแล้ว ขั้นตอนนี้ไม่มีข้อควรระวังที่ซับซ้อนและมีความปลอดภัยสูง จุดประสงค์หลัก คือการใช้น้ำสะอาดปริมาณมากเพื่อชะล้างทุกอย่างให้หมดจด การทำ 1 รอบก็ถือว่าเพียงพอ แต่หากคุณเพิ่งใช้น้ำยาที่มีฤทธิ์กัดกร่อนหรือกลิ่นฉุนรุนแรง เช่น น้ำยาฟอกขาวหรือแอมโมเนีย การซักรอบเปล่า 2 รอบจะช่วยสร้างความมั่นใจได้มากยิ่งขึ้นว่าไม่มีสารเคมีตกค้างที่จะไปทำลายเนื้อผ้า หรือก่อให้เกิดการระคายเคืองต่อผิวหนังในรอบซักถัดไปได้  

วิธีล้างเครื่องซักผ้าฝาหน้าและฝาบนด้านนอกตัวเครื่อง

1. ถอดท่อน้ำทิ้งและท่อน้ำเข้าออกล้างทำความสะอาด

4.4. ถอดท่อน้ำทิ้งและท่อน้ำเข้าออกล้างทำความสะอาด

เปิดฝาครอบท่อน้ำทิ้งด้านข้างหรือด้านหลัง แล้วใช้แปรงขัดล้างคราบตะกอนสะสมภายในท่อ ทำเช่นเดียวกันกับท่อน้ำเข้า ซึ่งการทำความสะอาดด้วยวิธีนี้อาจจะต้องใช้ความชำนาญสักหน่อย ดังนั้น จึงควรเรียกช่างมาทำให้จะดีกว่า 

2. ใช้เบกกิ้งโซดาล้างส่วนประกอบต่าง ๆ ของเครื่องซักผ้า

เบกกิ้งโซดามีคุณสมบัติในการช่วยขจัดคราบสกปรกและกลิ่นได้ดี โดยวิธีทำความสะอาด คือให้นำเบกกิ้งโซดาไปละลายกับน้ำอุ่น แล้วนำมาใช้ขัดถูฝาเครื่อง ยางรองประตูและส่วนต่าง ๆ ภายในถังเครื่องซักผ้า

3. ล้างยางรองประตูเครื่องซักผ้า

ยางรองประตูเครื่องซักผ้ามักสะสมคราบฝุ่น เศษผงและเชื้อราได้ง่าย ให้ใช้แปรงนุ่ม ๆ จุ่มน้ำส้มสายชูหรือน้ำยาทำความสะอาดขัดถูทำความสะอาดอย่างละเอียด เช็ดให้แห้งสนิทหลังจากล้างแล้ว

6.8. เช็ดทำความสะอาดตัวถังภายนอก

4. เช็ดทำความสะอาดตัวถังภายนอก

หากวางเครื่องซักผ้าไว้บริเวณนอกบ้าน อาจมีคราบฝุ่น สิ่งสกปรก เศษผม หรือแม้แต่น้ำยาและผงซักฟอกเปื้อนอยู่บริเวณตัวถัง ดังนั้น จึงควรหมั่นเช็ดทำความสะอาดอย่างสม่ำเสมอ เพื่อยืดอายุการใช้งานของเครื่องซักผ้าให้ยาวนานขึ้น 

ประโยชน์ของการล้างเครื่องซักผ้า

การล้างเครื่องซักผ้าเป็นสิ่งที่หลายคนมักมองข้าม แต่วิธีนี้ถือว่าเป็นการดูแลรักษาที่มีความสำคัญอย่างมาก เพราะหลังจากการใช้งานไประยะหนึ่ง มักจะมีคราบสกปรก ตะกอนและเศษต่าง ๆ สะสมตกค้างอยู่ภายในถังซัก ดังนั้น การทำความสะอาดเครื่องซักผ้าอย่างสม่ำเสมอจะช่วยขจัดคราบสกปรกและสิ่งตกค้างต่าง ๆ ได้อย่างหมดจด มาดูกันว่าการล้างเครื่องซักผ้าอย่างสม่ำเสมอมีประโยชน์อย่างไรบ้าง 

ช่วยกำจัดกลิ่นอับชื้นและกลิ่นไม่พึงประสงค์

ทุกครั้งที่ซักผ้าเสร็จ มักมีคราบสกปรกและผงซักฟอกตกค้างตามจุดต่าง ๆ ของเครื่องซักผ้า ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของกลิ่นอับชื้นและกลิ่นไม่พึงประสงค์ ดังนั้นการล้างเครื่องซักผ้าเป็นประจำจะช่วยขจัดคราบและกลิ่นเหล่านี้ให้หมดไป ทำให้เสื้อผ้าที่ซักมีกลิ่นหอมสดชื่น เพิ่มความมั่นใจในการสวมใส่และยังช่วยลดความเสี่ยงของปัญหาระบบทางเดินหายใจที่อาจเกิดจากกลิ่นอับชื้นได้อีกด้วย 

ป้องกันการสะสมกันของเชื้อโรค เชื้อราและแบคทีเรีย

เครื่องซักผ้าเป็นแหล่งสะสมเชื้อโรคชั้นดี เนื่องจากมีองค์ประกอบที่เหมาะสมทั้งความชื้น อุณหภูมิและเศษสิ่งสกปรกจากเสื้อผ้าที่สวมใส่มาทั้งวัน หากไม่ได้รับการทำความสะอาดอย่างสม่ำเสมอ เชื้อโรคเหล่านี้จะเพิ่มจำนวนมากขึ้นเรื่อย ๆ อาจส่งผลให้เกิดปัญหาสุขภาพต่าง ๆ เช่น โรคผิวหนัง โรคภูมิแพ้ หรือโรคระบบทางเดินหายใจ เป็นต้น 

ช่วยให้ผ้าสะอาดเหมือนใหม่ และไร้กลิ่นอับ

เมื่อเครื่องซักผ้าสะอาด เสื้อผ้าที่ซักก็จะสะอาดตามไปด้วย เพราะการล้างเครื่องซักผ้าจะกำจัดคราบสิ่งสกปรก คราบไขมันและตะกอนต่าง ๆ ที่สะสมอยู่ตามซอกมุม ทำให้เครื่องทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ส่งผลให้เสื้อผ้าสะอาดสดใส ไม่มีกลิ่นอับและปลอดภัยจากเชื้อโรค

ช่วยประหยัดน้ำและพลังงาน

เครื่องซักผ้าที่มีความสกปรก จะมีคราบต่างๆ เข้าไปอุดตันตามท่อน้ำ ทำให้การไหลเวียนของน้ำไม่ดี ส่งผลให้เครื่องต้องทำงานหนักขึ้นและใช้พลังงานมากขึ้น ทั้งนี้ เพื่อรักษาประสิทธิภาพการทำงาน ควรหมั่นล้างเครื่องซักผ้าอย่างสม่ำเสมอ เพราะจะช่วยให้เครื่องซักผ้าสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ต้องใช้น้ำและพลังงานเกินความจำเป็น 

ช่วยยืดอายุการใช้งาน

หากปล่อยให้มีคราบสกปรก ตะกอนและสิ่งปนเปื้อนสะสมในเครื่องซักผ้า ก็จะทำให้ชิ้นส่วนต่าง ๆ เสื่อมสภาพเร็วขึ้น เช่น ท่อน้ำอุดตัน ซักผ้าไม่สะอาดหรือปั่นผ้าไม่แห้ง เพราะฉะนั้นการล้างเครื่องซักผ้าอย่างสม่ำเสมอจะช่วยยืดอายุการใช้งาน ลดค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมหรือการซื้อเครื่องใหม่โดยไม่จำเป็นได้  

ควรล้างเครื่องซักผ้าบ่อยแค่ไหน

ความจริงแล้วไม่ได้มีระยะเวลากำหนดตายตัวว่าควรล้างเครื่องซักผ้าบ่อยมาแค่ไหน แต่ถ้าหากคุณใช้เครื่องซักผ้าอยู่เป็นประจำอยู่แล้ว แน่นอนว่าแต่ละรอบการซัก สิ่งสกปรก คราบมัน เศษผม ฯลฯ มักลงไปตกค้างอยู่ในถังซักแน่นอน หากนานเข้าเวลาซักผ้าก็จะทำให้ผ้ามีสิ่งสกปรกตกค้างได้ เพราะฉะนั้นจึงควรล้างถังซักและทำความสะอาดเครื่องภายนอกเดือนละ 1 ครั้ง หรือหากใช้เครื่องซักผ้าเป็นประจำทุกวันแนะนำให้ล้าง 3 เดือนครั้ง

ควรล้างเครื่องซักผ้าตอนไหน

หลายคนอาจสงสัยว่าควรล้างทำความสะอาดเครื่องซักผ้าเมื่อไหร่ อย่างไรก็ตาม ความถี่ในการล้างจะขึ้นอยู่กับปริมาณการใช้งาน ยิ่งใช้บ่อยมากแค่ไหน คราบสกปรกก็จะยิ่งสะสมมากขึ้น นอกจากนี้ ยังมีสัญญาณเตือนว่าถึงเวลาต้องล้างเครื่องซักผ้าแล้ว ดังนี้ 

  • มีกลิ่นอับชื้นจากตัวเครื่องซักผ้า 
  • เสื้อผ้าที่ซักแล้วมีกลิ่นอับติดมาด้วย 
  • พบคราบสกปรกติดอยู่บนเสื้อผ้าหลังซัก 

เมื่อพบว่าเครื่อซักผ้ามีสัญญข้างต้น ก็แสดงว่าถึงเวลาที่ต้องทำความสะอาดเครื่องซักผ้าแล้ว เพื่อให้เครื่องทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและเสื้อผ้าสะอาดหอมน่าใส่

แล้วถ้าไม่ล้างเครื่องซักผ้าจะเป็นอย่างไร

เมื่อคราบสกปรกและแบคทีเรียสะสมจนหนาแน่นในถังซัก ก็จะไปรบกวนการทำงานของกลไกภายในของเครื่อง ส่งผลให้ประสิทธิภาพการซักลดลงอย่างเห็นได้ชัด ยิ่งไปกว่านั้น สิ่งสกปรกหรือคราบต่าง ๆ ที่หมักหมมอยู่อาจะกลายเป็นแหล่งเพาะเชื้อโรคชั้นดี ทำให้ผ้าที่ซักไปแล้วมีกลิ่นเหม็นอับ หรือมีคราบสกปรกตกค้างอยู่ได้ ซึ่งอาจส่งผลต่อสุขภาพของผู้ใช้งานในระยะยาว เพราะฉะนั้นควรหมั่นล้างเครื่องซักผ้าอย่างสม่ำเสมอ เผื่อสุขอนามัยที่ดี  

สรุปบทความ

การทำความสะอาดเครื่องซักผ้าอย่างสม่ำเสมอจะช่วยยืดอายุการใช้งาน และทำให้ผ้าที่ซักออกมามีความสะอาด ไร้กลิ่นอับ ซึ่งวิธีล้างเครื่องซักผ้า ทั้งวิธีล้างถังซักและวิธีล้างเครื่องด้านนอกที่เรารวมมานี้ จะช่วยให้คุณสามารถดูแล รักษาเครื่องซักผ้าให้สะอาดเหมือนใหม่ได้อย่างง่ายดาย 

สุดท้ายนี้ ถ้าคุณเป็นหนึ่งในคนที่ไม่ชอบการซักผ้าด้วยตัวเอง ลองเข้าไปใช้บริการร้านสะดวกซัก CODE CLEAN ในสาขาใกล้บ้านคุณสักครั้ง รับรองว่าคุณจะลืมการซักผ้าแบบเดิม ๆ ไปเลย! นอกจากนี้ยังสามารถมั่นใจในความสะอาดของเครื่องซักผ้าหยอดเหรียญทุกเครื่องที่ CODE CLEAN ได้ เพราะเราหมั่นทำความสะอาดเครื่องเป็นประจำ อีกทั้งยังใช้เครื่องซักมาตรฐานอุตสาหกรรม ทำให้มั่นใจได้เลยว่า ผ้าที่นำมาซักที่ร้านซักผ้าหยอดเหรียญ CODE CLEAN จะสะอาดหมดจดอย่างแน่นอน

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    Always Active

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์

    คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ เพื่อเป็นประโยชน์ในการวัดผล ปรับปรุง และพัฒนาประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ ถ้าหากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราจะไม่สามารถวัดผล ปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ได้

Save